เครื่องซักอบผ้า หรือ
เครื่องซักผ้า แยกกับ
เครื่องอบผ้า ไปเลย แบบไหนจะใช้งานได้คุ้มค่า ยาวนาน และเต็มประสิทธิภาพกว่ากัน ยังคงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยและต้องการคำตอบ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเครื่องอบผ้ากลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทุกบ้านต้องมีในอนาคต
HomeGuru จึงจะมาเจาะลึกทั้งข้อดีและข้อจำกัดของเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งสามชนิดให้ทุกคนได้ลองนำไปเปรียบเทียบกันดูครับว่า
เครื่องซักอบผ้า แบบเครื่องเดียวจบกับเครื่องซักและอบผ้าแบบแยกเครื่องกัน แบบไหนดีกว่า
ทำความรู้จัก เครื่องซักผ้า
หากแบ่งตามลักษณะการทำงาน จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ นั่นคือ เครื่องซักผ้าแบบกึ่งอัตโนมัติ และเครื่องซักผ้าแบบอัตโนมัติครับ
เครื่องซักผ้าแบบกึ่งอัตโนมัติ
เครื่องซักผ้าแบบกึ่งอัตโนมัติ หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อของเครื่องซักผ้าแบบ 2 ถัง เป็นเครื่องซักผ้าที่แยกระบบการทำงานระหว่างการซักและการสลัดน้ำออกจากกัน โดยในส่วนของการซักนั้น ระหว่างการทำงานจะมีการเติมน้ำและ
ผงซักฟอก หรือ
น้ำยาซักผ้า ตัวเครื่องจะปั๊มน้ำใส่ถังซัก และดูดน้ำออกทางก้นถังเมื่อซักเสร็จ จากนั้นจะต้องใช้แรงงานคนในการย้ายผ้าออกจากถังซักไปใส่ในถังสลัดน้ำ เพื่อทำการสลัดน้ำออกหรือปั่นหมาด โดยมากเครื่องซักผ้าชนิดนี้มักจะมีราคาถูกกว่าเครื่องแบบอัตโนมัติครับ
เครื่องซักผ้าแบบอัตโนมัติ
เครื่องซักผ้าแบบอัตโนมัติคือเครื่องซักผ้าที่สามารถทำทั้งการซักและการปั่นได้ในเครื่องเดียว โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยตามลักษณะการทำงานภายใน และตามรูปลักษณ์ นั่นคือ
เครื่องซักผ้าฝาบน (Top Loading or Vertical Axis Clothe Washer) และ
เครื่องซักผ้าฝาหน้า หรือฝาเปิดข้าง (Front Loading or Horizontal Axis Clothe Washer) ซึ่งมีการทำงานแตกต่างกันดังนี้ครับ
เครื่องซักผ้าฝาบน
เป็นเครื่องซักแบบอัตโนมัติที่สามารถทำงานทุกอย่างได้ในถังเดียว ทั้งซักผ้า ซักน้ำ และสลัดน้ำ โดยถังซักจะวางอยู่ในแนวตั้ง ทำงานโดยการหมุนสักระยะแล้วหยุด ก่อนจะหมุนกลับในทิศทางตรงกันข้ามสลับไปมา ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงภายในถัง และเกิดการกระแทกระหว่างผ้าและน้ำที่มีผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าผสมอยู่ ซึ่งเป็นหลักการทำงานที่ต้องอาศัยมอเตอร์กำลังสูงกว่า
เครื่องซักผ้าแบบอื่นๆ
ระบบการซักของเครื่องซักประเภทนี้มักมีช่วงเวลาในการซักสั้นประมาณ 15 – 30 นาที จึงให้ความสะดวกรวดเร็ว แต่บางรุ่นอาจมีการเพิ่มระยะเวลาสำหรับแช่ผ้าที่อาจใช้เวลาโดยรวมในการซักประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ก็ช่วยให้การซักสะอาดยิ่งขึ้น และในบางรุ่นที่มีการพัฒนาระบบน้ำวนในถังก็จะช่วยลดปัญหาผ้าพันกันเวลาซักได้
ขนาดถังซักของเครื่องประเภทนี้จะรับน้ำหนักผ้าได้ตั้งแต่ 3 – 11 กิโลกรัม ในรุ่นที่ถังซักใหญ่ก็จะสามารถซัก
ผ้าห่มหรือ
ผ้านวมได้ นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมปรับระดับน้ำให้เหมาะสมกับปริมาณผ้าที่ต้องการซัก แต่ในการซักแต่ละครั้งจำเป็นต้องปรับให้ระดับน้ำท่วมถึงผ้าที่จะซัก จึงเป็นเครื่องซักผ้าที่ต้องใช้น้ำมากกว่าเครื่องซักแบบอื่นๆ ครับ
ส่วนระบบการปั่นหมาด หรือการสลัดน้ำจะมีการสั่นเล็กน้อย โดยการปั่นช่วงแรกจะเป็นไปอย่างช้าๆ เป็นช่วงๆ ซึ่งจะรีดน้ำได้ 50 – 60% แล้วจึงเพิ่มรอบปั่นให้เร็วขึ้นเพื่อรีดน้ำส่วนที่เหลือ โดยรวมแล้ว ข้อดีของเครื่องซักผ้าประเภทนี้ คือ สามารถเติมน้ำ ใส่ผ้า หรือนำผ้าออกจากเครื่องในระหว่างการซักได้โดยสะดวก อีกทั้งมีน้ำหนักเบากว่าเครื่องซักแบบอื่น ๆ จึงสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายด้วยครับ
เครื่องซักผ้าฝาหน้า
เป็นเครื่องซักแบบอัตโนมัติที่มีการทำงานคล้ายกับเครื่องแบบฝาบนที่สามารถซักผ้า ซักน้ำ และสลัดน้ำหรือปั่นหมาดได้ภายในเครื่องเดียวเช่นกัน แตกต่างกันตรงถังซักที่จะมีถึง 2 ชั้น ติดตั้งอยู่ในแนวนอน ซึ่งถังชั้นนอกจะยึดอยู่กับที่สำหรับเก็บน้ำ ส่วนถังชั้นในสำหรับใส่ผ้าจะเป็นถังที่หมุนรอบแกนในแนวนอน ทำงานโดยการเหวี่ยงตัวถังในแนวดิ่ง คือ เมื่อเครื่องหมุน ผ้าที่อยู่ในถังจะถูกเหวี่ยงขึ้นด้านบน
และตกลงมาแช่อยู่ในน้ำที่มีผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าผสมอยู่ตลอดระยะเวลาของการซัก จึงไม่จำเป็นต้องใช้มอเตอร์ที่มีกำลังสูง
และไม่ต้องใช้ปริมาณน้ำในการซักมากจนเต็มถัง แต่จะใช้น้ำเพียง 1 ใน 3 ของขนาดถังเท่านั้น ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้
ผงซักฟอกหรือ
น้ำยาซักผ้าตามไปด้วย โดยจะมีการเติมผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าผสมกับน้ำที่ถูกฉีดเข้าเครื่องในจังหวะป้อนน้ำ และมีระบบพรมน้ำที่ช่วยให้ผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าไหลแทรกซึมผ่านเนื้อผ้าได้อย่างทั่วถึง เป็นการช่วยให้ซักผ้าได้สะอาดยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจสอบการปั่นผ้า (Balancing Control) ที่จะช่วยกระจายผ้าไปรอบๆ ถังอย่างสมดุล ทำให้ผ้าไม่พันกันระหว่างการปั่น ในบางรุ่นยังมีโปรแกรมการซักตามประเภทของเนื้อผ้า เช่น ผ้าใยสังเคราะห์ , ผ้าขนสัตว์ , ผ้าเนื้อบาง , ผ้าฝ้าย เป็นต้น โดยเป็นโปรแกรมที่กำหนดเวลาซักที่เหมาะสมกับเนื้อผ้า รวมทั้งกำหนดอุณหภูมิและความเร็วรอบในการปั่นหมาด จึงเป็นการช่วยถนอมเนื้อผ้าและเป็นการประหยัดไฟฟ้าไปด้วยในตัวครับ
เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าโดยปกติที่ใช้ในครัวเรือนจะสามารถจุผ้าได้ประมาณ 5 – 7 กิโลกรัม ใช้น้ำประมาณ 40 – 80 ลิตร ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดของเครื่อง ข้อดี คือ สามารถประหยัดน้ำได้มากกว่าเครื่องซักแบบอื่น 30 – 50% แต่จะใช้ระยะเวลาในการซักยาวนานอย่างน้อย 45 นาที ถึง 2 ชั่วโมง น้ำหนักของเครื่องเทียบกับเครื่องแบบอื่นจะมีน้ำหนักมาก เพราะตัวเครื่องจะมีอุปกรณ์รักษาความสมดุล (Balancing Weight) อยู่บริเวณด้านบนสุด เพื่อลดอาการแกว่งและลดเสียงดังขณะใช้งานครับ
ทำความรู้จัก เครื่องอบผ้า
หากแบ่งตามลักษณะการทำงาน จะสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ นั่นคือ เครื่องอบผ้าแบบทั่วไป (Conventional Electric Clothe Dryer) , เครื่องอบผ้าแบบปั๊มความร้อน (Heat – Pump Clothe Dryer) และเครื่องอบผ้าแบบไมโครเวฟ (Microwave Clothe Dryer) ซึ่งแต่ละแบบจะมีหลักการให้ความร้อนแตกต่างกันครับ
เครื่องอบผ้าแบบทั่วไป
เป็นเครื่องที่เป็นที่นิยมและมีใช้กันมานาน ทำงานโดยใช้ลวดความร้อนเป็นต้นกำเนิดความร้อน เครื่องอบประเภทนี้จะมีการติดตั้งเทอร์โมสตัทที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของอากาศร้อน มีการติดตั้งตัวควบคุมระดับความชื้น ตัวถังจะหุ้มฉนวนเพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อนออกจากเครื่อง และสามารถนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่ได้ หากติดตั้งเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนที่จะทำให้อากาศเย็นจากภายนอกได้รับการถ่ายเทความร้อนบางส่วนที่เหลือจากอากาศร้อนทิ้ง โดยรวมแล้วจะเป็นเครื่องอบผ้าที่ค่อนข้างประหยัดพลังงาน และประหยัดไฟฟ้าได้มากเมื่อเทียบกับเครื่องแบบอื่นครับ
เครื่องอบผ้าแบบปั๊มความร้อน
เป็นเครื่องที่นิยมใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป ทำงานโดยใช้ระบบที่ติดตั้งปั๊มความร้อน (Heat Pump) โดยอากาศที่ไหลออกจากการอบแห้งนั้นจะมีความชื้นอยู่มาก การไหลผ่านเพื่อแลกเปลี่ยนความร้อนจะทำให้ความร้อนถูกดูดกลืน และถ่ายเทให้แก้สารทำความเย็น จากนั้นจะส่งผ่านไปให้ขดลวดการควบแน่น อากาศที่ได้ออกมาจะเป็นอากาศแห้งไหลกลับมาใช้ใหม่ คล้ายกับระบบทำความเย็นของตู้เย็นหรือเครื่องปรับอากาศ
ซึ่งการใช้เครื่องอบผ้าประเภทนี้มักใช้กับอุตสาหกรรม หรือใช้ในเชิงพานิชย์ เพราะมีราคาสูงกว่าเครื่องอบแบบอื่นถึง 2 เท่า
เครื่องอบผ้าแบบไมโครเวฟ
เป็นเครื่องที่ใช้หลอดแมกนีตรอน (Magnetron) จำนวน 2 หลอด เพื่อผลิตคลื่นไมโครเวฟออกมา เหมือนคลื่นความร้อนที่ใช้กับเตาอบไมโครเวฟ โดยคลื่นนี้จะไปสั่นโมเลกุลของน้ำ ทำให้น้ำร้อนจนกลายเป็นไอระเหยออกจากเสื้อผ้า ถือเป็นเครื่องอบผ้าที่ใช้เวลาค่อยข้างน้อย และประหยัดไฟฟ้าได้ดี
เลือกใช้ เครื่องซักอบผ้า หรือเครื่องอบผ้าดีกว่ากัน
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการอบผ้า ไม่ว่าจะด้วย
เครื่องซักอบผ้า หรือจะใช้เครื่องซักและอบแบบแยกเครื่องนั้นต่างก็ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน คือ ช่วยประหยัดเวลาในการดูแลเสื้อผ้า , ให้ความหอม นุ่มฟู แบบที่การตากผ้าให้ไม่ได้ , ช่วยลดฝุ่นและขุยผ้า เนื่องจากไม่ต้องตากผ้าในที่โล่งแจ้ง และยังช่วยฆ่าเชื้อโรคด้วยการผ่านกระบวนการความร้อนไปด้วยในตัว แต่ทั้งนี้เครื่องอบแต่ละแบบก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่โดดเด่นแตกต่างกัน ดังนี้ครับ
เลือกใช้ เครื่องซักอบผ้า เมื่อ...
- เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องอบผ้าอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยประหยัดเวลาในการย้ายถังซักระหว่างเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า
- เมื่อลักษณะการใช้งานส่วนมากเป็นการซักผ้าบ่อยๆ แต่ซักในปริมาณไม่มาก เพราะความจุตัวถังมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแบบแยกเครื่อง
- เมื่อมีข้อจำกัดเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เช่น มีเนื้อที่ไม่เพียงพอในการวางเครื่องซักและเครื่องอบแยกกัน หรือไม่มีพื้นที่ตากผ้าให้แห้งด้วยแสงแดด
- เมื่อมีงบประมาณจำกัด เพราะเครื่องซักอบผ้าจะมีราคาถูกกว่าเครื่องซักและอบแยกกัน
เลือกใช้เครื่องอบผ้าแบบแยกเครื่อง เมื่อ...
- เมื่อมีความจำเป็นจะต้องซักหรืออบผ้าแบบเร่งด่วนบ่อย เพราะการเลือกมีทั้งเครื่องอบผ้าและเครื่องซักผ้าจะสามารถใช้อุปกรณ์ทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ช่วยลดเวลาในการทำงานยิ่งขึ้น
- เมื่อต้องใช้งานหนัก เพราะการใช้งานแบบแยกเครื่องนั่นคือการใช้มอเตอร์คนละตัวกัน ระบบภายในจึงไม่ต้องทำงานหนักมาก ทำให้อายุการใช้งานของตัวเครื่องยาวนานกว่าการใช้เครื่องซักอบผ้า
- เมื่อมีพื้นที่เพียงพอต่อการจัดวางเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าทั้ง 2 เครื่อง
เครื่องซักอบผ้า เครื่องเดียวจบ หรือใช้เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแยกกันดีกว่า
จากข้อได้เปรียบในเรื่องระบบการทำงานภายในตัวเครื่อง และความทนทานเนื่องจากการใช้งานต่างๆ จะเห็นได้ว่าการใช้
เครื่องซักผ้าและ
เครื่องอบผ้าแบบแยกเครื่องนั้นค่อนข้างสมเหตุสมผลกว่าการเลือกใช้
เครื่องซักอบผ้า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยประกอบต่างๆ ที่
HomeGuru ได้กล่าวไปในข้างต้นด้วย ดังนั้นการเลือกซื้อเครื่องอบสักเครื่องจึงต้องพิจารณาตามความจำเป็น
และความเหมาะสมของแต่ละบ้านเป็นหลัก ซึ่งทุกคนสามารถนำข้อมูลทั้งหมดนี้ไปประกอบการตัดสินใจได้เลยครับ
สอบถามบริการล้างเครื่องซักผ้าเพิ่มเติม Inbox เพจ Home Service by HomePro : m.me/Homeservicebyhomepro Line : https://lin.ee/uN8D4Zl หรือ @Homeproservice
Call Center 1284