กล่องใส่รองเท้า อุปกรณ์จัดเก็บรองเท้าที่กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน แซงหน้าตู้เก็บรองเท้าแบบเก่า ๆ ไปไกลลิบ ด้วยข้อดีมากมายของ กล่องรองเท้าพลาสติก ที่นอกจากจะช่วยดูแลรักษารองเท้าแล้วยังให้ความยืดหยุ่นในเรื่องการใช้งานและการจัดวางได้แทบทุกรูปแบบโดยไม่มีข้อจำกัด จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีรองเท้าหลายคู่ หรือต้องการโชว์รองเท้าสวย ๆ แบบเป็นระเบียบเรียบร้อยไปด้วยในตัว แต่ กล่องรองเท้า นั้นมีมากมายหลายแบบ จะรู้ได้อย่างไรว่า กล่องใส่รองเท้า แบบไหน ที่เหมาะกับการใช้งานของเรา
HomeGuru ได้รวบรวมเทคนิคในการเลือกซื้อมาฝากแล้วครับ
• ทำความรู้จัก กล่องใส่รองเท้า ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ
1. ข้อดีของการใช้กล่องรองเท้าพลาสติก 2. รูปแบบของกล่องรองเท้า 3. เทคนิคการเลือกซื้อกล่องรองเท้า • ข้อดีของการใช้ กล่องรองเท้าพลาสติก
การมีรองเท้าหลายคู่ หรือมีรองเท้าคู่โปรดที่อยากดูแลรักษาให้มีอายุการใช้งานนาน ๆ ก็ย่อมเป็นเรื่องสำคัญของคนรักรองเท้า และการป้องกันไม่ให้รองเท้าเกิดความเสียหายจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุดก็คือการเก็บรักษาไว้ในกล่องรองเท้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อดูแลรักษารองเท้าโดยเฉพาะที่นอกจากจะช่วยให้รองเท้าอยู่ในสภาพดีตลอดเวลาแล้ว ยังมีข้อดีอีกมากมายเลยครับ
1. ช่วยปกป้องรองเท้าจากความอับชื้น และเชื้อรา
เนื่องจากการออกแบบกล่องรองเท้าจะให้ความสำคัญกับเรื่องของการระบายอากาศและความอับชื้น กล่องใส่รองเท้าโดยทั่วไปจึงออกแบบให้มีรูระบายอากาศเพื่อป้องกันปัญหาเชื้อราที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายจากการหมักหมมของเหงื่อ และช่วยลดปัญหากลิ่นอับไปด้วยในตัว นอกจากนี้เรายังสามารถใส่แผ่นกันเชื้อราเพิ่มลงไปในกล่องรองเท้าได้อีกด้วยครับ
2. ช่วยปกป้องรองเท้าจากน้ำ ฝุ่นละออง แมลง และสัตว์ต่าง ๆ
นอกจากจะป้องกันความอับชื้นและเชื้อราแล้ว กล่องรองเท้า ยังสามารถช่วยปกป้องรองเท้าจากการเปียกน้ำ จากฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดคราบสกปรกสะสม หรือแม้แต่แมลงและสัตว์ต่าง ๆ ที่อาจเข้าไปอาศัยทำรังอยู่ภายในรองเท้า และก่อให้เกิดอันตราย หรืออาจทำร้ายรองเท้าคู่โปรดราคาแพงของเราได้ครับ
3. ช่วยรักษารองเท้าไม่ให้เสียรูปทรง
อีกหนึ่งข้อดีของการเก็บรองเท้าในกล่องคือช่วยรักษารูปทรงของรองเท้าให้อยู่ในสภาพเดิม ไม่ผิดรูป เนื่องจากไม่เกิดการเบียดเสียดกันกับรองเท้าคู่อื่น ๆ เหมือนการจัดเก็บรองเท้าปริมาณมาก ๆ รวมกันในตู้รองเท้าตู้เดียว จึงทำให้รองเท้าสะอาดและดูใหม่อยู่เสมอครับ
4. ช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ และยืดหยุ่นได้ตามใจชอบ
เนื่องจาก
กล่องรองเท้าพลาสติก นั้นมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ไม่ใหญ่เทอะทะเหมือนการใช้ตู้รองเท้า และจึงทำให้สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และสามารถเลือกจัดเก็บได้หลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของขนาดพื้นที่ที่มีอยู่ โดยกล่องรองเท้าส่วนใหญ่มักจะออกแบบมาให้มีตัวล็อกที่ช่วยให้วางซ้อนกล่องรองเท้าได้หลายชั้นตามต้องการโดยไม่เลื่อนหลุดง่าย จึงช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บได้มากเลยครับ
5. ช่วยลดพื้นที่จัดเก็บเมื่อไม่ใช้งาน เนื่องจากสามารถพับเก็บได้
กล่องใส่รองเท้าพลาสติก บางรุ่นจะถูกออกแบบมาให้สามารถพับเก็บได้เมื่อไม่ใช้งาน ดังนั้น เวลาที่ไม่ต้องการนำออกมาใช้ก็จะสามารถพับให้เป็นแผ่นพลาสติกขนาดเล็กเพื่อช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ ไม่ทำให้เกะกะหรือรกหูรกตา และยังสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายหรือพกพาไปไว้ในที่อื่น ๆ ครับ
6. ช่วยให้มองเห็นรองเท้าได้ง่าย สะดวกต่อการหยิบใช้งาน
กล่องใส่รองเท้าโดยทั่วไปมักถูกออกแบบมาให้มีความโปร่งใสทั้งบริเวณตัวกล่องและฝาเปิด-ปิด เพื่อที่จะได้สามารถมองเห็นได้ทันทีว่ารองเท้าคู่ไหนอยู่ตรงไหน จึงทำให้สามารถหยิบออกมาใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องรื้อหาให้วุ่นวาย ช่วยลดเวลาการหาของในชั่วโมงเร่งด่วนได้อย่างดีเลยครับ
7. ช่วยให้บ้านดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม
นอกจากประโยชน์ในเรื่องการจัดเก็บรองเท้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วกล่องใส่รองเท้าดีไซน์สวย ๆ ยังช่วยทำให้บ้านดูสวยงาม ทันสมัย เหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งบ้านอีกชิ้นหนึ่งที่สามารถเลือกโทนสีและรูปแบบการจัดวางให้เข้ากับสไตล์การตกแต่งบ้านได้ตามใจชอบเลยครับ
• รูปแบบของ กล่องรองเท้า
รองเท้าถือเป็นเครื่องแต่งกายที่นอกจากจะมีไว้เพื่อใช้งานแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกสไตล์หรือรสนิยมของเจ้าของรองเท้าได้อย่างชัดเจน จึงไม่แปลกที่จะมีการดีไซน์รองเท้าออกมาหลายแบบหลายสไตล์เพื่อตอบโจทย์การแต่งกายของแต่ละคน เช่นเดียวกันกับกล่องใส่รองเท้าที่ต่างก็ได้รับการดีไซน์ออกมาหลายแบบหลายสไตล์เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในแต่ละแบบที่แตกต่างกันออกไปนั่นเองครับ
1. กล่องใส่รองเท้าแบบพลาสติก
กล่องใส่รองเท้าพลาสติก ถือเป็นกล่องรองเท้าที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะพลาสติกถือเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทาน ขึ้นรูปง่าย สามารถดีไซน์ออกมาได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบพับได้และพับไม่ได้ แบบมีฝาเปิด-ปิดด้านบน หรือแบบเปิด-ปิดจากทางด้านหน้ากล่อง อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบา จึงทำให้เคลื่อนย้ายสะดวก ประกอบหรือวางซ้อนต่อกันได้หลายชั้น ช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บรองเท้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังนิยมทำเป็นกล่องแบบโปร่งใสที่ช่วยทำให้มองเห็นรองเท้าด้านในได้อย่างชัดเจน จึงเหมาะกับการจัดเก็บรองเท้าเพื่อตั้งโชว์และสะดวกต่อการหยิบใช้งานไปด้วยในตัวครับ
2. กล่องใส่รองเท้าแบบลิ้นชัก
เป็น กล่องใส่รองเท้า อีกแบบที่กำลังได้รับความนิยม มีทั้งที่ผลิตมาจากพลาสติกและอะคริลิคใสที่ช่วยให้มองเห็นรองเท้าด้านในได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถหยิบใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็วด้วยการเปิด-ปิดแบบลิ้นชัก จึงไม่เสียเวลาในการยกขึ้นยกลงเพื่อเลือกกล่องที่ต้องการใช้งาน ซึ่งนอกจากจะทำให้การใช้งานมีความคล่องตัวสูงแล้ว ลักษณะของตัวกล่องที่มีการซ้อนตัวลิ้นชักอีกชั้นจึงทำให้กล่องรองดท้าแบบนี้มีความแข็งแรงมากกว่ากล่องแบบอื่น ๆ ด้วยครับ
3. กล่องใส่รองเท้าในรถยนต์
สำหรับกล่องใส่รองเท้าในรถยนต์นั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกล่องรองเท้าที่ผลิตจากพลาสติก เนื่องจากต้องการให้มีน้ำหนักเบาเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย และหลาย ๆ คนมักจะเลือกใช้เป็นกล่องแบบฝาเปิด-ปิดได้มากกว่ากล่องแบบลิ้นชัก เพื่อป้องกันปัญหาลิ้นชักไหลจากกล่องตามแรงเบรครถครับ ที่สำคัญคือจะเป็นกล่องที่มีรูระบายความอับชื้นและ
เชื้อรา รวมถึงป้องกันฝุ่นละอองต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และช่วยป้องกันไม่ให้รองเท้าเสียทรงในระหว่างการเดินทางครับ
• เทคนิคการเลือกซื้อ กล่องรองเท้า
กล่องใส่รองเท้าเป็น
อุปกรณ์จัดเก็บที่มีไว้สำหรับจัดระเบียบรองเท้าให้เรียบร้อย สะอาดตา และช่วยดูแลรักษารองเท้าให้มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด ซึ่งกล่องรองเท้าในปัจจุบันก็มีการผลิตออกมาให้เลือกใช้งานอยู่หลากหลายประเภท แม้ว่าดูเผิน ๆ แล้วกล่องใส่รองเท้าแต่ละแบบจะเหมือน ๆ กัน แต่แท้จริงแล้วก็มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ต้องพิจารณาก่อนการเลือกซื้อเช่นกันครับ
1. เลือกซื้อจากขนาดของรองเท้า
โดยปกติแล้ว กล่องใส่รองเท้า ขนาดมาตรฐานจะสามารถรองรับรองเท้าได้แทบทุกขนาดอยู่แล้วครับ แต่สำหรับใครที่ใส่รองเท้าเบอร์ใหญ่พิเศษ หรือเป็นรองเท้าดีไซน์พิเศษก็ควรจะเช็คขนาดของกล่องรองเท้าให้ชัวร์ก่อนว่าสามารถเก็บลงกล่องได้แบบไม่ต้องยัดรองเท้าลงไปให้เสียทรงครับ
2. เลือกซื้อจากฟังก์ชั่นของกล่องรองเท้า
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่ากล่องรองเท้าแต่ละแบบนั้นได้รับการออกแบบมาไม่เหมือนกัน บางแบบเป็นกล่องแบบลิ้นชัก บางแบบเป็นกล่องแบบมีฝาเปิด-ปิดด้านบน บางแบบเป็นกล่องที่เปิด-ปิดจากทางด้านหน้ากล่องได้เลย รวมถึงตัวล็อคของแต่ละกล่องที่อาจมีความแตกต่างกัน เช่น ตัวล็อคแบบแม่เหล็ก หรือตัวล็อคแบบพลาสติกเลื่อนขึ้น-ลง เป็นต้น ในเมื่อมีความแตกต่างกันขนาดนี้ ก็ควรพิจารณาเลือกฟังก์ชั่นการใช้งานให้ตอบโจทย์ตามความถนัดให้มากที่สุดด้วยครับ
3. เลือกซื้อจากความแข็งแรงของวัสดุ
กล่องเก็บรองเท้าควรมีความแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย โดยเฉพาะหากต้องการใช้งานบริเวณนอกตัวบ้านที่ต้องโดนแดดโดนฝน โดนลมพายุ หรือหากมีสัตว์เลี้ยงในบ้านที่อาจกระโดดชนกล่องใส่รองเท้าได้ก็ยิ่งต้องพิจารณาเรื่องความแข็งแรงของวัสดุเป็นพิเศษเลยครับ เพราะกล่องรองเท้าที่ไม่แข็งแรงหรือแน่นหนาพอก็จะมีโอกาสแตกหักเสียหายได้ง่ายครับ
4. เลือกซื้อจากรูระบายอากาศของกล่องรองเท้า
หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญขั้นพื้นฐานที่กล่องรองเท้าควรจะมี คือ ความสามารถในการระบายอากาศที่ดีนั่นเองครับ เพราะฉะนั้นควรเลือกซื้อกล่องรองเท้าที่มีรูระบายอากาศอยู่ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยไม่ให้เกิดปัญหารองเท้ามีกลิ่นเหม็นอับ หรือปัญหาความชื้นและเชื้อราที่อาจเกิดขึ้นได้ครับ
5. เลือกซื้อจากสีสันและรูปแบบที่ถูกใจ
กล่องใส่รองเท้า แต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์นั้นต่างก็มีการออกแบบมาแตกต่างกัน นอกจากจะเพื่อรองรับการใช้งานที่แตกต่างกันแล้วยังเป็นการออกแบบมาเพื่อให้สามารถเลือกใช้งานได้ตามสไตล์การตกแต่งบ้าน เพื่อให้กลายเป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งชิ้นหนึ่งที่ดูกลมกลืนกับบ้านแต่ละรูปแบบ การเลือกโทนสีที่เข้ากับบ้านเพื่อไม่ให้กล่องรองเท้าดูโดดเด่นสะดุดตาเกินไปจึงเป็นอีกหนึ่งไอเดียการตกแต่งบ้านที่น่าสนใจครับ
6. เลือกซื้อจากราคากล่องรองเท้า
แม้ว่า กล่องรองเท้า จะเป็นอุปกรณ์จัดเก็บขนาดเล็กที่ราคาไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการซื้อตู้รองเท้าทั้งตู้ แต่เนื่องจากข้อจำกัดในการจัดเก็บที่เก็บได้เพียงแค่กล่องละหนึ่งคู่ จึงต้องพิจารณาเรื่องของจำนวนกล่องรองเท้าที่จะใช้งานให้ดีเสียก่อนครับ เพราะยิ่งมีรองเท้ามากเท่าไหร่ ก็ต้องใช้กล่องรองเท้าและงบประมาณในการซื้อกล่องรองเท้ามากขึ้นเท่านั้น
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ
กล่องใส่รองเท้า ที่มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยสังเกตมาก่อน
HomeGuru หวังว่าทุกคนจะได้เทคนิคดี ๆ ในการเลือกซื้อ กล่องรองเท้า ให้ตรงกับความต้องการใช้งานกันนะครับ และหากใครกำลังมองหา กล่องใส่รองเท้าพลาสติก รวมไปถึงอุปกรณ์จัดเก็บอื่น ๆ ภายในบ้านก็อย่าลืมไปเลือกชมกันได้ที่โฮมโปรทุกสาขา หรือช้อปออนไลน์ง่าย ๆ แค่คลิก
www.homepro.co.th และสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการเรื่องบ้านได้ทาง Call Center 1284 ครับ