เลือกผ้าปูที่นอน อย่างไรไม่ให้พลาด เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาหาข้อมูลกันพอสมควร เพราะการเลือก ผ้าปูที่นอน สักชุดให้ออกมาคุ้มค่า คุ้มราคา เข้ากับสไตล์การตกแต่งห้องของเรา และได้สินค้าที่มีคุณภาพที่สุดนั้นต้องมีปัจจัยประกอบการตัดสินใจหลายด้าน และแต่ละด้านล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับความชอบและความพอใจของผู้ใช้งาน และบทความนี้ HomeGuru ได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ สำหรับคนที่ต้องการ เลือกผ้าปูที่นอน มาแนะนำแบบจัดเต็ม
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าคนเราใช้เวลา 1 ใน 3 ของช่วงชีวิตทั้งหมดไปกับการนอน นี่ยังไม่นับรวมช่วงเวลาที่เราทำกิจกรรมต่าง ๆ บนที่นอนนอกเหนือจากการนอนหลับ อย่างการดูซีรีย์ การอ่านหนังสือ การรับประทานอาหาร ฯลฯ อีกนะ ดังนั้น อุปกรณ์ในการนอน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการพักผ่อน โดยเฉพาะผ้าปูที่นอนที่หากเลือกใช้งานอย่างถูกต้องก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนอนหลับได้อย่างคาดไม่ถึง
เมื่อพูดถึงการ เลือกผ้าปูที่นอน นอกจาก ประเภทผ้าปู แล้วหลายคนยังให้ความสนใจกับเรื่องของจำนวนเส้นด้ายในการทอ จำนวนเส้นด้าย จะบ่งบอกถึงความหนาแน่นของเนื้อผ้า ซึ่งเป็นปัจจัยแรก ๆ ที่ใช้บ่งชี้คุณภาพความทนทานของเนื้อผ้า ยิ่งเนื้อผ้ามีความหนาแน่นสูงก็จะยิ่งมีความทนทานสูงตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันความเนียนละเอียดของเนื้อผ้าจะขึ้นอยู่กับขนาดเส้นด้ายที่ใช้ในการทอผ้า เพราะยิ่งใช้เส้นด้ายขนาดเล็กก็ยิ่งต้องใช้เส้นด้ายในปริมาณมากขึ้น จึงส่งผลให้เนื้อผ้าเนียนละเอียดมากขึ้น แต่หากเส้นด้ายมีขนาดเล็กจนเกินไปก็ส่งผลให้เนื้อผ้ามีความทนทานลดน้อยลงเช่นกัน ดังนั้น ส่วนที่หลายคนเข้าใจผิด คือ ยิ่งจำนวนเส้นด้ายมากเท่าไหร่ ผ้าปูที่นอน ก็จะยิ่งคุณภาพดีมากเท่านั้น ซึ่งในความจริงแล้วปริมาณเส้นด้ายที่เหมาะสมต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดเรื่องความทนทานของเนื้อผ้า ส่วนเรื่องความนุ่มก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ จำนวนเส้นด้าย แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเส้นด้ายมากกว่า
ผ้าปูที่นอนที่เราเห็นตามท้องตลาดนั้นมีมากมายหลายแบบ นอกจากสีสัน ลวดลาย ขนาด เนื้อผ้า ฯลฯ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึง ซึ่ง ประเภทผ้าปู ต่าง ๆ มักแตกต่างกันตามตัวเลือกดังนี้
อย่างที่ได้บอกไปว่าจำนวนเส้นด้ายที่เหมาะสมจะช่วยให้เนื้อผ้าทนทานมากขึ้น โดยจำนวนเส้นด้ายที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 300 – 600 เส้นด้ายต่อ 1 ตารางนิ้ว และเป็นเส้นด้ายคุณภาพดี เพราะแม้ว่าจะมีจำนวนเส้นด้ายที่เหมาะสม แต่หากทอมาจากเส้นด้ายที่ไม่ได้มาตรฐานก็ทำให้ผ้าปูที่นอนมีความสากและแข็งกระด้างจนไม่น่าใช้งานได้เช่นกัน
เนื้อผ้าที่ใช้ผลิตผ้าปูที่นอนนั้นมีหลากหลายมาก แต่โดยทั่วไปจะใช้เส้นด้ายหรือเส้นใยในการทอ 3 แบบ นั่นคือ เส้นใยธรรมชาติ 100% , เส้นใยสังเคราะห์ 100% และเส้นใยผสม ซึ่งแต่ละชนิดก็ให้สัมผัสและความสบายแตกต่างกัน ผ้าฝ้าย (Cotton) 100% เป็นผ้าจากเส้นใยธรรมชาติที่มีคุณสมบัติทนทานและนุ่มเป็นพิเศษ ยิ่งซักทำความสะอาดยิ่งนุ่มมาก ช่วยในการซับเหงื่อ ดูดซับความชื้น ทั้งยังระบายอากาศได้ดี จึงให้ความรู้สึกเย็นสบาย ช่วยให้หลับสบาย แต่จะมีข้อเสียเรื่องยับง่ายและราคาค่อนข้างสูง ผ้าไหม (Silk) เป็นผ้าที่ผลิตโดยนำรังไหมมาคลี่ออก แล้วนำเส้นใยที่ได้ไปถักทอเป็นผืนผ้าลวดลายต่าง ๆ คุณสมบัติของผ้าไหม คือ มีความเงางาม มันวาว ดูหรูหรา นุ่มนวล ยืดหยุ่นสูง ดูดซับความชื้นได้ดี และสามารถระบายอากาศได้ดี จึงทำให้รู้สึกสบายเวลานอนหลับ แต่ข้อเสียคือมีราคาสูงมาก ยับง่าย ดูแลค่อนข้างยาก และทนทานน้อยกว่าผ้าชนิดอื่น ๆ ครับ ผ้าใยไผ่ (Bamboo) เป็นผ้าจากเส้นใยธรรมชาติอีกชนิดที่มีเอกลักษณ์ตรงลวดลายที่เกิดจากธรรมชาติของเส้นใย อีกทั้งเส้นใยมีความโปร่ง ทำให้ระบายอากาศได้ดี มีความนุ่มนวล เงางาม สามารถดูดซับน้ำและความชื้นต่าง ๆ ได้ดี และสามารถช่วยต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ดีมาก
ผ้าซาติน (Satin) เป็นผ้าที่ทอมาจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ 100% ซึ่งเป็นเส้นใยสังเคราะห์ที่มนุษญ์สร้างขึ้น เนื้อผ้าจะให้ผิวสัมผัสที่นุ่ม ลื่น เย็นสบาย เป็นมันวาว ดูหรูหราและโรแมนติก แต่เนื้อผ้าจะไม่ทนนัก ผ้า Cotton Satin ริ้ว เป็นผ้า Cotton 100% ที่มีริ้ว Satin หนา 1 นิ้ว สลับกันไปตลอดทั้งผืน มีความทนทานมาก ให้ความรู้สึกนุ่มสบาย ยิ่งซักยิ่งนุ่มตามคุณสมบัติของผ้าฝ้ายและมีลวดลายสวยงามจากผ้าซาติน แต่ก็ยับง่าย และมีราคาสูงกว่าผ้าฝ้ายปกติ จึงเป็นที่นิยมกับการใช้งานในโรงแรมหรือรีสอร์ทมากกว่า, ผ้าสักหลาด (CVC) เป็นผ้าที่มีส่วนผสมระหว่าง Cotton 50% และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ 50% ทำให้มีความนุ่มและทนทานมากกว่าผ้าซาติน ไม่ยับง่าย และช่วยให้ความอบอุ่นได้ดีกว่าผ้าฝ้าย จึงนิยมใช้เป็น ผ้าปูที่นอน สำหรับเด็กครับ ผ้า TC เป็นผ้าที่มีส่วนผสมของ Cotton 65% และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ 35% จุดเด่นของผ้าชนิดนี้ คือ จะไม่ค่อยหดหรือย้วย เหมือนผ้า Cotton 100% แต่จะระบายอากาศได้ไม่ดีเท่า Cotton 100% เช่นกัน เนื้อผ้าค่อนข้างยับยาก และมีความแข็งกระด้างอยู่บ้าง จึงอาจเหมาะกับการนำมาใช้เป็นสเกิร์ตเตียงมากกว่า
ขนาดของ เตียง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการ เลือกผ้าปูที่นอน เพราะหากเลือกผ้าปูขนาดเล็กเกินไปก็ไม่สามารถใช้ปูที่นอนได้ แต่หากเลือกขนาดใหญ่เกินไปก็ทำให้ที่นอนดูยับย่น ไม่สวยงาม และทำให้นอนหลับไม่สบายได้ ซึ่งขนาดโดยทั่วไปของฟูกที่นอนในท้องตลาดจะแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ได้แก่ ขนาด 3.5 ฟุต (Single) , 5 ฟุต (Queen Size) และ 6 ฟุต (King Size) ส่วนขนาดฟูกที่นอนสำหรับใช้ในโรงแรมจะอยู่ที่ประมาณ 7 ฟุต ครับ นอกจากความกว้างของขนาดฟูกที่นอนแล้ว ก็จำเป็นต้องทราบความสูงของฟูกที่นอนด้วยเช่นกัน โดยความสูงมาตรฐานจะอยู่ที่ประมาณ 8 – 10 นิ้ว ส่วนผ้าปูที่นอนจะมีความสูงประมาณ 12 นิ้ว แต่หาก ฟูกที่นอน มีความสูงแบบพิเศษก็ต้องตรวจสอบสินค้าให้ดีก่อนการเลือกซื้อ อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ รูปแบบของการปูเตียงครับ ผ้าปูเตียงทั่วไปจะมีทั้งผ้าปูแบบรัดมุมที่มียางยืดตรงมุมผ้าทั้ง 4 ด้าน ทำให้สามารถปูที่นอนได้ง่ายดาย แต่ราคาจะค่อนข้างสูง อีกชนิดหนึ่งคือผ้าปูแบบไม่รัดมุม เป็นผ้าผืนเดียวที่เวลาปูนอนจะเรียกว่า Hospital Corner โดยการสอดผ้าเข้าไปเตียง ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากแต่ก็มีราคาถูกกว่าผ้าปูแบบรัดมุมครับ
เนื่องจากผลการวิจัยจากสถาบันต่างๆ พบว่าสีมีผลต่ออารมณ์ทั้งในด้านจิตใจและด้านพลังงาน ดังนั้น การเลือกสีสันและลวดลายของ ผ้าปูที่นอน จึงส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกเช่นเดียวกัน ผ้าปูที่นอนสีโทนร้อน อย่างสีเหลือง , สีส้ม , สีแดง ฯลฯ จะช่วยสร้างความรู้สึกกระฉับกระเฉงในตอนตื่นนอน สร้างความอบอุ่นและช่วยในการไหลเวียนเลือด แต่หากใช้สีโทนร้อนที่ฉูดฉาดจนเกินไปก็อาจทำให้พลังงานถูกกระตุ้นมากจนนอนไม่หลับได้ ผ้าปูที่นอนสีโทนเย็น อย่างสีฟ้า , สีน้ำเงิน , สีเขียว ฯลฯ จะช่วยให้ความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย เป็นโทนสีที่เหมาะกับห้องนอนมากที่สุด โดยเฉพาะสีเขียวที่ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยได้ทางอ้อม ดังที่เรามักจะเห็นสีเขียวในการตกแต่งห้องพักผู้ป่วยนั่นเอง ผ้าปูที่นอนที่มีลวดลาย จะช่วยสร้างความโดดเด่นให้ห้องที่ดูเรียบๆ อย่างห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น หรือมีผนังสีเรียบ ในขณะเดียวกัน หากเป็นห้องที่มีผนังวอลเปเปอร์ลวดลายต่างๆ และเฟอร์นิเจอร์ที่ดูมีลูกเล่นอยู่แล้ว ผ้าปูที่นอนสีพื้นแบบเรียบๆ ก็ช่วยให้ห้องดูสบายตามากขึ้นได้
ปัจจุบันเทคโนโลยีในการผลิตผ้าปูที่นอนก้าวออกไปไกลจากกรอบของความสวยงาม ไปให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและคุณภาพที่ได้จากการนอนมากขึ้น เราจึงเห็นนวัตกรรมการผลิตที่เน้นผลิตสินค้าที่มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติมขึ้นมาจากเดิม หรือเป็นคุณสมบิติพิเศษที่ติดตัวมากับชนิดของเส้นใยที่ใช้ก็ได้ ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น จะผลิตด้วยกรรมวิธีการทอที่แตกต่างจากผ้าปูที่นอนทั่วไป คือ เน้นการทอเส้นใยให้หนาแน่นกว่าปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ไรฝุ่นที่อาจแฝงตัวอยู่ในผ้าปูเล็ดลอดออกมา รวมถึงป้องกันไม่ให้ไรฝุ่นจากภายนอกเข้าไปอาศัยอยู่ด้วย ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่นจึงเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้เป็นพิเศษครับ ผ้าปูที่นอนช่วยลดอุณหภูมิร่างกาย เนื้อผ้าจะช่วยในการระบายอากาศ อย่างผ้าปูที่นอนที่ทอจากผ้าฝ้ายที่จะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายขณะนอนหลับ ทำให้นอนหลับสบายตลอดทั้งคืนโดยไม่ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะความร้อนหรือเพราะเหงื่อออกจนเปียกชุ่ม ผ้าปูที่นอนช่วยรักษาความชุ่มชื้น เนื้อผ้าจะมีผิวสัมผัสนุ่มลื่นเป็นพิเศษ เพราะหากเลือกใช้ผ้าปูที่นอนทั่วไปที่เนื้อผ้ามีความแห้งและสาก อาจทำให้ผิวหนังและเส้นผมเกิดความแห้ง แข็งกระด้างจากการเสียดสีขณะนอนหลับได้ รวมทั้งทำให้ฝุ่นผงและสารก่อภูมิแพ้กระจายตัวได้ดี โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว เนื้อผ้าผูที่นอนที่มีความนุ่มลื่นจึงช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังและเส้มผมได้ดีกว่า
การดูแลผ้าปูที่นอนให้ใช้ได้นาน เป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้การเลือกซื้อผ้าปูที่นอนดีๆ สักชุด เพราะการดูแลรักษาผ้าปูที่นอนให้อยู่ในสภาพดีย่อมมีผลต่อคุณภาพของการนอนเช่นกัน และวิธีการดูแลที่ว่านี้ก็ไม่ได้ยุ่งยากเกินความสามารถของทุกคนแน่นอน อ่านฉลากดูชนิดเนื้อผ้าปูที่นอน เนื่องจากผ้าแต่ละชนิดต้องการการดูแลรักษาที่แตกต่างกัน บางชนิดสามารถนำไปปั่นแห้งได้ บางชนิดต้องซักมือเท่านั้น ก่อนทำการซักจึงจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดเหล่านี้ก่อน
แยกซักระหว่างผ้าปูที่นอนกับเสื้อผ้า เพราะแม้การซักรวมกันจะเป็นการประหยัดเวลาและทรัพยากร แต่ก็มีโอกาสสูงที่ตะขอ ซิป หรือส่วนต่างๆ ของเสื้อผ้าจะไปสร้างรอยขีดข่วนบนผ้าปูที่นอน หรืออาจทำให้สีตกรวมกันจนเกิดความเสียหายได้ เลือกใช้น้ำยาซักผ้าสูตรถนอมผ้า เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารเคมี น้ำยาฟอกขาว หรือแม้แต่ น้ำยาซักผ้า หรือผงซักฟอกในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ทำความสะอาดผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกได้ไม่หมด หรือทำความสะอาดออกได้ไม่ทั่วถึงจนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการแพ้ขณะนอนหลับได้ เลือกโหมดปั่นรอบต่ำสุดในเครื่องซักผ้า เพื่อเป็นการช่วยถนอนเนื้อผ้า เพราะหากใช้ความเร็วสูงในการปั่นอาจทำให้ผ้าปูที่นอนชำรุดและได้รับความเสียหายจากแรงเหวี่ยงได้
อบแห้งหรือตากผ้าอยากถูกวิธี หากต้องการใช้ เครื่องอบแห้ง ควรตั้งอุณภูมิความร้อนไว้ในระดับปานกลาง และไม่อบนานเกินไป เป็นการป้องกันปัญหาผ้าปูที่นอนไหม้ แต่หากไม่มีเครื่องอบแห้งก็ควรนำผ้าปูที่นอนไปตากไว้ในบริเวณที่อากาศถ่ายเท หลีกเลี่ยงแดดจัด เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นใยของผ้าปูที่นอนเสื่อมสภาพ จัดเก็บในที่แห้งและปลอดภัย เมื่อทำความสะอาดผ้าปูที่นอนเรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผ้าปูที่นอนนั้นแห้งสนิทพร้อมจัดเก็บ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเชื้อรา แบคทีเรีย และกลิ่นอับชื้น ก่อนนำผ้าปูที่นอนไปจัดเก็บในที่แห้งและเย็น รวมทั้งห่างไกลจากสัตว์เลี้ยงและสัตว์รบกวนในบ้านอย่างหนู หรือแมลงสาบที่อาจทำให้ผ้าปูที่นอนชำรุดเสียหายได้
อย่างที่บอกไว้ข้างต้นแล้วว่าคนเราใช้เวลากับการนอนมากกว่าที่เราคิด และการนอนหลับพักผ่อนให้สบายก็ล้วนมีปัจจัยมากมายมาประกอบ หนึ่งในนั้นคือการ เลือกผ้าปูที่นอน และการ ดูแลผ้าปูให้ใช้ได้นาน ดังที่ HomeGuru ได้รวบรวมเทคนิคต่างๆ มาให้ปรับใช้กัน ดังนั้น อย่าลืมให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆ ที่จะทำให้เรานอนหลับได้สบายขึ้นอย่างผ้าปูที่นอนกันนะครับ สามารถมาช้อปผ้าปูที่นอนหลากหลายแบบตามความต้องการได้ ที่โฮมโปรสาขาใกล้บ้าน หรือช้อปออนไลน์ง่าย ๆ ได้ 24 ชั่วโมงทาง www.homepro.co.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ HomePro Call Center โทร 1284
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิก
เพื่อเพิ่มรายการโปรดของคุณ