ชุดผ้าปูที่นอน ของใช้ประจำวันที่จำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกใช้งาน เพราะเป็นไอเทมที่ต้องสัมผัสกับผิวกาย และผิวหน้าโดยตรงในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนที่ทุกบ้านต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนที่นอน การเลือก ชุดผ้าปูที่นอน ที่ปัจจุบันมีให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่เพียงแต่จะต้องคำนึงถึงความสวยงามของลวดลายตามความชอบที่เข้ากับสไตล์การตกแต่งบ้าน และขนาดของผ้าปูที่นอน ที่มีให้เลือกตั้งแต่ ผ้าปูที่นอน 3.5 ฟุต ไปจนถึง ผ้าปูที่นอน 6 ฟุต เพียงเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลากหลายปัจจัยที่จะช่วยให้การเลือกใช้ผ้าปูที่นอนมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การนอนหลับพักผ่อนสบายตลอดทั้งคืน วันนี้
HomeGuru เลยมี 5 เคล็ดลับในการเลือกชุดผ้าปูที่นอน เพื่อสัมผัสที่นุ่มสบายตลอดการพักผ่อน มาบอกต่อ! เพื่อช่วยให้การตัดสินใจเลือกซื้อและเลือกใช้ผ้าปูที่นอนเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นครับ
5 เคล็ดลับ เลือก ชุดผ้าปูที่นอน เพื่อสัมผัสที่นุ่มตลอดการพักผ่อน
1. ขนาดของผ้าปูที่นอน ต้องเท่ากับขนาดของที่นอน
เรื่องแรกที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อ ชุดผ้าปูที่นอน เลยก็คือเรื่องของขนาด ที่ต้องสัมพันธ์กับขนาดของ
ที่นอน เพื่อช่วยให้การปูผ้าปูที่นอนเป็นเรื่องง่าย ตึงเรียบ และสวยงาม แต่หากเลือกผ้าปูที่มีขนาดเล็ก หรือใหญ่กว่าจะเตียง อาจส่งผลให้เวลานอนขยับตัวผ้าปูที่นอนอาจจะร่น และยับ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวระหว่างการนอนได้ครับ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเจ้าของบ้านจะรู้ขนาดของเตียง และที่นอนที่ตนเองใช้งานกันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากในการเลือกผ้าปูที่นอนที่มีขนาดเท่ากับที่นอน ไม่ว่าจะเป็น ผ้าปูที่นอนแบบรัดมุม หรือ
ผ้าปูที่นอนแบบไม่รัดมุม ซึ่งที่นอนที่ทุกบ้านใช้งานกันจะมีตั้งแต่ • ขนาด 3.5 ฟุต ที่มีขนาด 42 X 78 นิ้ว หรือ เตียงเดี่ยว ซึ่งเหมาะสำหรับ ผ้าปูที่นอน 3.5 ฟุต • ขนาด 5 ฟุต มีขนาด 60 X 78 นิ้ว หรือ เตียงควีนไซส์ (Queen size) ซึ่งเหมาะสำหรับ ผ้าปูที่นอน 5 ฟุต • และขนาด 6 ฟุต มีขนาด 72 X 78 นิ้ว หรือเตียงคิงส์ไซส์ (King size)ซึ่งเป็นเตียงที่หลาย ๆ บ้านนิยมใช้งาน เพราะมีความกว้างและสะดวกสบายในการนอน เหมาะสำหรับ ผ้าปูที่นอน 6 ฟุต
2. เนื้อผ้าของ ชุดผ้าปูที่นอน เพื่อผิวสัมผัสที่แตกต่างกัน
คุณภาพของผ้าปูที่นอนที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับเนื้อผ้าในการผลิต เพราะเนื้อผ้าปูที่นอนคือส่วนที่สัมผัสกับผิวโดยตรง หากเลือกคุณภาพของวัสดุในการผลิตที่คุณภาพต่ำอาจให้ความรู้สึกไม่สบายตัวขณะนอนหลับพักผ่อน และรู้สึกถึงความหยาบของเนื้อผ้า ปัจจุบันผ้าปูที่นอนมีให้เลือกใช้งานตามเนื้อผ้าอย่างหลากหลาย ได้แก่
• ผ้าฝ้าย หรือ ผ้าปูที่นอนจากใยธรรมชาติ 100%
เนื้อผ้าฝ้าย หรือเนื้อผ้าคอตตอน (Cotton) เป็นเนื้อผ้าที่ได้รับความนิยม เพราะให้สัมผัสที่นุ่ม มีความยืดหยุ่นสูง ให้ความเย็น ถ่ายเทอากาศ ระบายความร้อนได้ดี และที่สำคัญคือดูแลรักษาง่าย ยิ่งซักยิ่งนุ่ม ซึ่งเป็นเส้นใยที่ได้จากธรรมชาติ ใยต้นไผ่ หรือใยไหม ถือได้ว่าเป็นเนื้อผ้าที่มีคุณภาพดีที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ
• ผ้าฝ้ายผสมใยสังเคราะห์
ผ้าปูที่นอนที่ผลิตจากผ้าฝ้ายผสมใยสังเคราะห์ มีความคล้ายคลึงกับผ้าฝ้ายธรรมชาติ แต่จะแตกต่างกันที่เรื่องคุณสมบัติบางประการ เช่น เรื่องการระบายอากาศ ผ้าฝ้ายธรรมชาติจะระบายอากาศได้ดีกว่า แต่ผ้าฝ้ายที่ผสมใยสังเคราะห์จะยับยากกว่า และมีราคาที่ถูกกว่า
• ผ้าปูที่นอนซาติน
ผ้าปูที่นอน 3.5 ฟุต ไปจนถึง ผ้าปูที่นอน 6 ฟุต ที่ผลิตจากเนื้อผ้าซาติน ส่วนใหญ่แล้วจะเน้นเรื่องความสวยงาม และหรูหรา ที่ให้ผิวสัมผัสที่เรียบ ลื่น นุ่ม และเย็นขณะนอนหลับ เพราะเนื้อผ้าทอมาจากเส้นใยโพลีเอสเทอร์ 100% ซึ่งจะมีข้อเสียเรื่องความทนทาน เพราะอาจจะเสียหายได้ง่ายกว่าผ้าประเภทอื่น ๆ ครับ
• ผ้าสักหลาด
ไม่เป็นที่นิยมใช้ในเมืองไทย เพราะด้วยเนื้อผ้าถูกผลิตขึ้นจากขนสัตว์ที่ผสมกับใยสังเคราะห์ หรือฝ้าย จึงให้ความรู้สึกที่อุ่นมากกว่าผ้าชนิดอื่น ๆ จึงเหมาะสำหรับใช้ในหน้าหนาว
3. จำนวนเส้นด้าย ช่วยให้ทุกการพักผ่อนเป็นเรื่องที่สบายยิ่งขึ้น
เมื่อเลือกขนาดของผ้าปูที่นอน ไม่ว่าจะเป็น ผ้าปูที่นอน 3.5 ฟุต ผ้าปูที่นอน 5 ฟุต หรือ ผ้าปูที่นอน 6 ฟุต และประเภทของเนื้อผ้าปูที่นอนเรียบร้อยแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องพิจารณา แต่ส่วนใหญ่แล้วแทบทุกบ้านจะมองข้ามไป คือเรื่องของจำนวนเส้นด้ายในการทอผ้าปูที่นอน ความหนาแน่นของเส้นด้ายที่ใช้ในการทอผ้าปูที่นอน จะส่งผลต่อคุณภาพ ราคาของผ้าปูที่นอน ซึ่งถ้าหากสังเกตุให้ดีผ้าปูที่นอนแต่ละรุ่นแต่ละแบรนด์จะมีจำนวนเส้นใยที่ไม่เท่ากัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผ้าปูที่นอนจะจำนวนเส้นด้ายอยู่ที่ 180-300 เส้นต่อตารางนิ้ว ยิ่งเส้นใยมาก ผ้าปูที่นอนจะยิ่งมีคุณภาพที่นิ่ม นุ่มสบาย แต่ต้องเป็นเส้นใยที่ได้มาตรฐาน และราคาของผ้าปูที่นอนจะยิ่งสูงตามไปด้วย
4. ลวดลายและสีสันของผ้าปูที่นอน
ผ้าปูที่นอนเป็นของใช้ที่เพิ่มความสวยงามให้กับ
ห้องนอนได้ไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่น ๆ การเลือกลวดลายและสีสันของผ้าปูที่นอนจึงจำเป็นต้องเลือกให้เข้ากับโทนการตกแต่งห้อง เพื่อช่วยเพิ่มบรรยากาศ ความรู้สึกให้ห้องนอนน่าอยู่ยิ่งขึ้น เช่น ห้องนอนสไตล์มินิมอล อาจจะเลือกใช้โทนสีผ้าปูที่นอนเป็นโทนสีอ่อน เช่น สีครีม สีน้ำตาลอ่อน หรือลวดลายตาราง หากเป็นห้องนอนสไตล์โมเดิร์น ก็อาจจะเลือกผ้าปูที่นอนโทนสีเข้ม เช่น เทาเข้ม น้ำเงินเข้ม น้ำตาลเข้ม เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้ห้องนอนดูมีเสน่ห์และน่าค้นหา
โทนสีของผ้าปูที่นอนส่วนใหญ่จะเน้น 2 โทนสีหลัก ๆ คือ โทนสีร้อน และโทนสีเย็น ซึ่งให้อารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกัน ดังนี้ โทนสีร้อน ให้ความรู้สึกกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง ผ้าปูที่นอนส่วนใหญ่จะเป็น สีเหลือง สีส้ม สีแดง แต่ไม่ควรเลือกเฉดที่สีฉูดฉาดมากจนเกินไป ควรดรอปโทนสีให้ลดลงเพื่อความสบายตา โทนสีเย็น จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สดใส และห้องนอนดูกว้างขวางขึ้น เช่น สีเขียว สีฟ้า
5. คุณสมบัติพิเศษของผ้าปูที่นอน
นอกเหนือจากการเลือกผ้าปูที่นอนที่มีคุณภาพที่ดี เพื่อช่วยให้การนอนหลับสบายตลอดทั้งคืนแล้ว อย่าลืมมองหาคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติมของผ้าปูที่นอนที่ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องอื่น ๆ เช่น ป้องกันไรฝุ่น ช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพอย่างโรคภูมิแพ้ หรือผ้าปูที่นอนที่ช่วยรักษาอุณหภูมิและความชุ่มชื่นให้กับร่างกาย เพื่อช่วยให้การนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน
ชุดผ้าปูที่นอน ไม่ว่าจะเป็น ผ้าปูที่นอน 3.5 ฟุต ผ้าปูที่นอน 5 ฟุต หรือ ผ้าปูที่นอน 6 ฟุต เมื่อเลือกได้ตรงตามความต้องการ และเข้ากับไลฟ์สไตล์การตกแต่งห้องนอนที่แตกต่างกันตามที่
HomeGuru แนะนำไว้ข้างต้นแล้ว อย่าลืมระหว่างการใช้งานควรหมั่นเปลี่ยน และซักทำความสะอาดผ้าปูที่นอนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกสะสมต้นเหตุของปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่อาจจะตามมาได้ครับ
สอบถามบริการดูดไรฝุ่นที่นอนเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Home Service by HomePro : m.me/Homeservicebyhomepro Line : https://lin.ee/uN8D4Zl หรือ @Homeproservice
Call Center : 1284 Mobile app : https://bit.ly/372RTMT โปรโมชั่นเพิ่มเติมจาก Home Service :
https://bit.ly/3Bj8Yzs